1. IEEE 802 (Institute of Electrical and Electronics Engineers)
คือ องค์กรที่ได้สร้างมาตรฐานสากลมากมายทางด้วยวิศวกรรมไฟฟ้าแล้วคอมพิวเตอร์ ได้กำหนดมาตรฐานระบบเครือข่ายไว้จำนวนหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันในกลุ่มหมายเลข IEEE ได้รับการยอมรับจากองค์กรควบคุมมาตรฐาน ได้แก่ ANSI และ ISO
IEEE แบ่งออกได้ดังนี้
-IEEE 802.1 การบริหารจัดการระบบเครือข่าย
-IEEE 802.2 ถูกออกแบบใน LLC ไม่ต้องการให้เครื่องรู้จักกับ MAC sub layer กับ physical layer
-IEEE 802.3 สำหรับเป็น โปรโตคอลมาตราฐานเครือข่าย EtherNet ที่มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps
-IEEE 802.4 มาตรฐาน IEEE 802.4 เป็นมาตรฐานกำหนดโปรโตคอลสำหรับเลเยอร์ชั้น MAC
-IEEE 802.5 เครือข่ายที่ใช้โทโปโลยีแบบ Ring
-IEEE 802.6 กำหนดมาตรฐานของ MAN ซึ่งข้อมูลในระบบเครือข่ายถูกออกแบบมาให้ใช้งานในระดับเขต และเมือง
-IEEE 802.7 ใช้ให้คำปรึกษากับกลุ่มเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบ Broadband
-IEEE 802.8 ใช้ให้คำปรึกษากับกลุ่มเทคโนโลยีเคเบิลใยแก้วนำแสง
-IEEE 802.9 ใช้กำหนดการรวมเสียงและข้อมูลบนระบบเครือข่ายรองรับ
-IEEE 802.10 ใช้กำหนดความปลอดภัยบนระบบเครือข่าย
-IEEE 802.11 มาตรฐาน IEEE 802.11 และเป็นเทคโนโลยีสำหรับ WLAN >> อ่านรายละเอียดคลิ๊กที่นี่ <<
-IEEE802.12 ใช้กำหนดลำดับความสำคัญของความต้องการเข้าไปใช้งานระบบเครือข่าย
-IEEE 802.14 ใช้กำหนดมาตรฐานของสาย Modem
-IEEE 802.15 ใช้กำหนดพื้นที่ของเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล
-IEEE 802.16 ใช้กำหนดมาตรฐานของ Broadband แบบไร้สาย หรือ WiMA
คือ องค์กรที่ได้สร้างมาตรฐานสากลมากมายทางด้วยวิศวกรรมไฟฟ้าแล้วคอมพิวเตอร์ ได้กำหนดมาตรฐานระบบเครือข่ายไว้จำนวนหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันในกลุ่มหมายเลข IEEE ได้รับการยอมรับจากองค์กรควบคุมมาตรฐาน ได้แก่ ANSI และ ISO
IEEE แบ่งออกได้ดังนี้
-IEEE 802.1 การบริหารจัดการระบบเครือข่าย
-IEEE 802.2 ถูกออกแบบใน LLC ไม่ต้องการให้เครื่องรู้จักกับ MAC sub layer กับ physical layer
-IEEE 802.3 สำหรับเป็น โปรโตคอลมาตราฐานเครือข่าย EtherNet ที่มีอัตราเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps
-IEEE 802.4 มาตรฐาน IEEE 802.4 เป็นมาตรฐานกำหนดโปรโตคอลสำหรับเลเยอร์ชั้น MAC
-IEEE 802.5 เครือข่ายที่ใช้โทโปโลยีแบบ Ring
-IEEE 802.6 กำหนดมาตรฐานของ MAN ซึ่งข้อมูลในระบบเครือข่ายถูกออกแบบมาให้ใช้งานในระดับเขต และเมือง
-IEEE 802.7 ใช้ให้คำปรึกษากับกลุ่มเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบ Broadband
-IEEE 802.8 ใช้ให้คำปรึกษากับกลุ่มเทคโนโลยีเคเบิลใยแก้วนำแสง
-IEEE 802.9 ใช้กำหนดการรวมเสียงและข้อมูลบนระบบเครือข่ายรองรับ
-IEEE 802.10 ใช้กำหนดความปลอดภัยบนระบบเครือข่าย
-IEEE 802.11 มาตรฐาน IEEE 802.11 และเป็นเทคโนโลยีสำหรับ WLAN >> อ่านรายละเอียดคลิ๊กที่นี่ <<
-IEEE802.12 ใช้กำหนดลำดับความสำคัญของความต้องการเข้าไปใช้งานระบบเครือข่าย
-IEEE 802.14 ใช้กำหนดมาตรฐานของสาย Modem
-IEEE 802.15 ใช้กำหนดพื้นที่ของเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล
-IEEE 802.16 ใช้กำหนดมาตรฐานของ Broadband แบบไร้สาย หรือ WiMA
2. WEP(Wired Equivalent Privacy) เป็นการเข้าและถอดรหัสข้อมูล (WEP Encryption/Decryption) สำหรับ Security ใน Layer 2(Data Link) ของ OSI Model (Open System interconnection Model) ไม่ให้คนอื่นเข้ามาใช้ทรัพยากรของเราที่กระจายในอากาศWEP Encryption
3. WEP คือ.บริการ Wi - Fi ป้องกันการเข้าถึง เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ Wi - Fi ที่มีการใช้งานกับ WEP (เช่นเป็น ซอฟต์แวร์อัพเกรดที่มีอยู่ใน ฮาร์ดแวร์ ) แต่เทคโนโลยีที่รวมสองการปรับปรุงมากกว่า WEP :
ข้อมูลที่ดีขึ้น การเข้ารหัส ผ่านโปรโตคอลสมบูรณ์ชั่วคราวคีย์ (TKIP) TKIP scrambles ปุ่มใช้ hashing ขั้นตอนวิธีการ และโดยการเพิ่มคุณสมบัติการตรวจสอบความสมบูรณ์, เพื่อให้มั่นใจว่ากุญแจสวรรค์? t? รับการดัดแปลงด้วย ผู้ ตรวจสอบ ซึ่งโดยทั่วไปที่ขาดหายไปใน WEP ผ่าน โปรโตคอลการตรวจสอบขยาย(EAP) WEP ควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายไร้สายขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่? มาเฉพาะฮาร์ดแวร์ ที่อยู่ MAC ซึ่งง่ายที่จะ isrelatively sniffed ออกและถูกขโมย EAP ถูกสร้างขึ้นบนความปลอดภัยมากขึ้นระบบการเข้ารหัสคีย์สาธารณะเพื่อให้แน่ใจว่าเฉพาะผู้ใช้เครือข่ายที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงเครือข่ายมันควรจะสังเกตที่ WPA เป็นมาตรฐานระหว่างกาลที่จะถูกแทนที่ด้วย มาตรฐาน IEEE ? มาตรฐาน 802.11i เมื่อเสร็จสิ้นของมัน
ข้อมูลที่ดีขึ้น การเข้ารหัส ผ่านโปรโตคอลสมบูรณ์ชั่วคราวคีย์ (TKIP) TKIP scrambles ปุ่มใช้ hashing ขั้นตอนวิธีการ และโดยการเพิ่มคุณสมบัติการตรวจสอบความสมบูรณ์, เพื่อให้มั่นใจว่ากุญแจสวรรค์? t? รับการดัดแปลงด้วย ผู้ ตรวจสอบ ซึ่งโดยทั่วไปที่ขาดหายไปใน WEP ผ่าน โปรโตคอลการตรวจสอบขยาย(EAP) WEP ควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายไร้สายขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่? มาเฉพาะฮาร์ดแวร์ ที่อยู่ MAC ซึ่งง่ายที่จะ isrelatively sniffed ออกและถูกขโมย EAP ถูกสร้างขึ้นบนความปลอดภัยมากขึ้นระบบการเข้ารหัสคีย์สาธารณะเพื่อให้แน่ใจว่าเฉพาะผู้ใช้เครือข่ายที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงเครือข่ายมันควรจะสังเกตที่ WPA เป็นมาตรฐานระหว่างกาลที่จะถูกแทนที่ด้วย มาตรฐาน IEEE ? มาตรฐาน 802.11i เมื่อเสร็จสิ้นของมัน
4. Access Point หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าAP (เอ-พี) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “จุดกระจายและเชื่อมต่อสัญญาณ ไร้สาย เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายทุกชนิด (ที่ทำงานภายใต้มาตรฐานของ IEEE802.11) เข้าด้วยกัน นอกจากจะทำหน้าที่เป็น Access Point แล้ว AP ที่ดียังสามารถทำหน้าที่อื่นๆ เพื่อช่วยให้ระบบเครือข่ายไร้สายตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถึงขีดสุด หน้าที่ต่างๆ ของ AP ที่ดี ที่จะช่วยสร้างระบบเครือข่ายไร้สายของคุณให้ทรงประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง
5. CDMA คือ รหัสกอง Multiple Access (การส่งผ่านเสียง / ข้อมูล)CDMA ย่อมาจาก Code Division Multiple Access เป็นการมัลติเพล็ก สัญญาณข่าวสารต่าง ที่เราใช้ติดต่อกัน ให้ไปกับคลื่นพาห์ แบบการเข้ารหัสหรือการเข้าโค๊ดนั่นเองครับ ซึ่งจะแตกต่าง จากระบบ GSM (Global System for Mobile Communications)ซึ่งจะใช้การ มัลติเพล็ก หรือ มอดูเลต สัญญาณข่าวสาร ต่างๆ ให้ไปกับคลื่นพาห์ แบบ TDMA (Time Division Multiple Access) การมัลติเพล็กแบบแบ่งช่วงเวลา และ FDMA (Frequency Division Multiple Access) การมัลติเพล็กแบบแบ่งช่วงความถี่
ซึ่งตัวเครื่อง หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ของทั้งสองระบบ นี้จะถูกออกแบบ มาต่างกัน ซิมการ์ดก็จำเป็นที่จะต้องใช้ ให้ถูกกับระบบของตัวเครื่อง เนื่องจากในการลงทะเบียนการใช้งานแต่ละครั้งข้อมูลต่างๆในซิมการ์ดจะต้อง ถูกยืนยันให้ตรงกับข้อมูลที่ถูกเก็บในฐานข้อมูลของเครือข่าย ถึงจะอนุญาตให้ผู้ใช้นั้นใช้งานได้
ซิมการ์ดที่ใช้ได้ ในระบบ CDMA ก็คือ HUTCH และ CAT CDMA ของ CAT Telecom หรือ กสท โทรคมนาคม
ซึ่งตัวเครื่อง หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ของทั้งสองระบบ นี้จะถูกออกแบบ มาต่างกัน ซิมการ์ดก็จำเป็นที่จะต้องใช้ ให้ถูกกับระบบของตัวเครื่อง เนื่องจากในการลงทะเบียนการใช้งานแต่ละครั้งข้อมูลต่างๆในซิมการ์ดจะต้อง ถูกยืนยันให้ตรงกับข้อมูลที่ถูกเก็บในฐานข้อมูลของเครือข่าย ถึงจะอนุญาตให้ผู้ใช้นั้นใช้งานได้
ซิมการ์ดที่ใช้ได้ ในระบบ CDMA ก็คือ HUTCH และ CAT CDMA ของ CAT Telecom หรือ กสท โทรคมนาคม
6. SSID ย่อมาจาก Sub Station IDentifier ในโปรโตคอล AX.25 นั้นได้กำหนดให้มีขนาด 4บิต หรือเท่ากับ 24 มีค่าเท่ากับ 16ค่า คือค่า 0-15 โดยถูกใช้เพื่อแสดงไอคอน หรือแสดงสถานะของสถานีว่าเป็นอะไร ในโปรโตคอล AX.25 แต่ในระบบ APRS แล้วมีการระบุสัญลักษณ์ไอคอนแทรกส่งไปด้วย ผู้ใช้งานทั้งหลายจึงสนใจไอคอนของโปรโตคอล APRS มากกว่าหมายเลข SSID จึงทำให้หลายท่านใช้หมายเลข SSID มั่วไม่ตรงตามข้อกำหนดการใช้ SSID ของโปรโตคอล AX2.5 ซึ่งได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้
7. MAC address filteringMAC address ทำหน้าที่เสมือนเลขประจำตัวของอุปกรณ์ network ต่างๆ ซึ่งจะไม่ซ้ำกันเลย ดังนั้นการที่เราสามารถที่จะกำหนดให้แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเท่านั้น ที่สามารถเข้าสู่ network ของเราได้ ก็ย่อมจะทำให้ระบบ Wireless LAN ของเราปลอดภัยขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
8. "Broadband" เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ทั่วไปในการกล่าวถึงการติดต่อผ่านเครือข่ายความเร็วสูง ในที่นี้จะหมายถึงการติดต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางเคเบิลโมเด็มและสายชนิด Digital Subscriber Line (DSL) ซึ่งนิยมเรียกว่าการติดต่ออินเทอร์เน็ตแบบ broadband โดยมีค่า "Bandwidth" จะเป็นค่าที่อธิบายถึงความเร็วสัมพัทธ์ในการติดต่อกับเครือข่าย เช่น การติดต่อผ่านโมเด็มโดยการ dial-up ที่ใช้งานทั่วไปในปัจจุบันทำงานมีค่า bandwidth 56 กิโลบิตต่อวินาที
(kbps (103)) ไม่มีการกำหนดค่าที่แน่นอนไว้ว่า การติดต่อแบบ broadband จะต้องมีค่า bandwidth เท่าใด แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ค่าประมาณ 1 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps (106)) ขึ้นไป
(kbps (103)) ไม่มีการกำหนดค่าที่แน่นอนไว้ว่า การติดต่อแบบ broadband จะต้องมีค่า bandwidth เท่าใด แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ค่าประมาณ 1 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps (106)) ขึ้นไป
9. Bandwidth (แบนด์วิดท์) คือ คำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second) , Mbp (bps*1000000) เช่น Bandwidth ของการใช้สายโทรศัพท์ในประเทศไทย เท่ากับ 14.4 Kbps,Bandwidth ของสายส่งข้อมูลของ KSC ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอเมริกาเท่ากับ 2 Mbps เป็นต้น
10. (DHCP) Dynamic Host Configuration Protocol เป็นโปรโตคอลที่ให้ผู้บริหารเครือข่ายจัดการส่วนกลางและกำหนด Internet Protocol address โดยอัตโนมัติในเครือข่าย การใช้กลุ่มอินเตอร์เน็ตของโปรโตคอล (TCP/IP) แต่ละเครื่องสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตโดยต้องการ IP address แบบไม่ซ้ำ เมื่อมีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ผู้ใช้เชื่อมเข้ากับอินเตอร์เน็ต จะต้องกำหนด IP address ให้แต่ละเครื่อง ถ้าไม่ใช้ DHCP การกำหนด IP address ต้องป้อนเข้าเอง รวมถึงเมื่อมีการย้ายตำแหน่งไปยังส่วนอื่นของเครือข่ายก็จะต้องป้อน IP address ใหม่ DHCP จะให้ผู้บริหารเครือข่ายดูแลและกระจาย IP address จากจุดศูนย์กลางและส่ง IP address อย่างอัตโนมัติเมื่อการต่อเครื่องใหม่เข้าสู่เครือข่าย แนวคิดของ DHCP ใช้แนวคิดของการเช่าหรือเวลารวม ซึ่งจะให้ IP address เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่การเช่าเวลาสามารถแปรเปลี่ยน โดยขึ้นต่อการที่ผู้ใช้ต้องติดต่อกับอินเตอร์เน็ตในพื้นที่เฉพาะ DHCP มีประโยชน์กับองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ใช้ การใช้ในเวลาหรือการเช่าสั้น นอกจากนี้ DHCP จะทำการคอนฟิกเครือข่ายใหม่ ถ้ามีคอมพิวเตอร์มากกว่า IP address ที่มีให้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น